เรื่องสภาวะโลกร้อนนี่พูดกันมานานมาก เพราะถือว่าเป็นเรื่องระดับโลก ที่ทุกชีวิตรับผลกระทบเหมือนกันหมด และมันวิกฤติถึงกับที่เค้าเรียกว่าระดับ “Code Red” ถ้าไม่แก้ไขตั้งแต่วันนี้ ก็จะสายเกินไปเสียแล้ว เห็นได้จากสภาพอากาศที่แปรเปลี่ยน น้ำทะเลหนุนสูง น้ำท่วม ภัยแล้ง ไฟป่า ทุกอย่างได้รับผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมจากภาวะโลกร้อนทั้งสิ้น ซึ่งส่วนสำคัญก็คือเรื่องของ ก๊าซเรือนกระจก นั่นเอง
การผลักดันความร่วมมือจากทั่วโลกอย่างเป็นรูปธรรมที่เห็นได้ชัดก็คือการประชุม COP26 หรือ การประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศสมัยที่ 26 ที่มีการบรรลุข้อตกลงทางประวัติศาสตร์เพื่อควบคุมปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อม ด้วยเป้าหมายให้การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ หรือ Net Zero ภายในปี 2050 (พ.ศ. 2593) ซึ่งแน่นอนว่าสิ่งนี้จะเป็นจริงได้ต้องได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วนจริงๆ
ที่ผ่านมาเราก็ได้เห็นความพยายามต่างๆ จากทั้งองค์กรรัฐ และภาคเอกชน แต่เท่าที่ผมรู้สึกได้นั้น ถ้าทำแค่ในระดับกิจกรรม CSR เพื่อภาพลักษณ์องค์กร ก็คงจะไม่สามารถแก้ไขปัญหาอะไรได้เท่ากับการบูรณาการเป็นแผนระยะยาว คงพูดได้เพียงว่า “ดีกว่าไม่ทำอะไรเลย” แต่มันยังทำได้ดีมากกว่านี้ คือต้องตั้งเป็นเป้าหมายองค์กร มีกระบวนการวัดผล และ implement ในทุกระดับ และผมก็รู้สึกดีใจที่ได้เห็นองค์กรธุรกิจในภาคอสังหาฯ ที่ลุกขึ้นมาทำแบบนี้จริงๆ อย่างที่แสนสิริทำครับ
โดยแสนสิริได้ประกาศเดินหน้าพันธกิจสีเขียวที่ว่า “จะเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์รายแรกของไทยที่ตั้งเป้าหมาย Net-zero ให้ได้ในอนาคตข้างหน้า และมีแผนที่ชัดเจนแล้วทั้ง 4 ด้าน ได้แก่
1. Process จะมีกระบวนการตรวจสอบเข้มข้น ตรวจวัดได้จริง มีมาตรฐาน เพื่อบรรลุเป้าหมายอย่างเป็นรูปธรรม โดยเริ่มจากการเข้าร่วมเป็นสมาชิกเครือข่ายคาร์บอนนิวทรัลประเทศไทย
2. Product ประกาศว่า ทุกโครงการของแสนสิริต้องใช้พลังงานสะอาด ยกตัวอย่าง เช่น บ้านทุกหลังจะมีโซลารูฟ 100% ไฟถนนในทุกโครงการใหม่จะใช้พลังงานแสงอาทิตย์ 100% ทั้งคู่นี้ตั้งเป้าให้ได้ในปี 2030 ซึ่งความท้าทายก็คือเทคโนโลยีของแบตเตอรี่ที่จะทำให้สามารถใช้พลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีค่าใช้จ่ายถูกลง
3. Partners ร่วมมือกับพันธมิตรในการตั้งเป้าหมายลดก๊าซเรือนกระจกร่วมกัน
4. Investment การลงทุนในทุกมิติจะเน้นธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการลดคาร์บอนโดยทางตรงและทางอ้อม เบื้องต้นกำหนดงบไว้ 500 ล้านบาท ในกรอบเวลา 3 ปี
สิ่งที่ผมเห็นด้วยประการหนึ่งจากที่ฟังคุณเศรษฐา ทวีสิน หัวเรือใหญ่ พูดเรื่องนี้ในงานแถลงข่าวก็คือ ประชาชนควรได้รับประโยชน์จากเรื่องนี้โดยตรงด้วย เช่น คนที่ขอสินเชื่อสำหรับโครงการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมควรจะได้อัตราดอกเบี้ยพิเศษ และผมคิดว่าภาครัฐเองก็ควรสนับสนุนภาคเอกชนที่หันมาทำเรื่องนี้อย่างจริงจัง ให้ได้รับสิทธิประโยชน์ที่มากกว่าคนอื่นด้วย เพื่อเป็นการจูงใจให้ทุกคนหันมาจัดการเรื่องสภาวะโลกร้อนอย่างจริงจัง
เมื่อถึงวันข้างหน้า ลูกหลานของเราจะได้ไม่ปรามาสว่า ผลกระทบที่เกิดขึ้นกับโลกและรุ่นของพวกเขา ก็เพราะพวกเราไม่คิดจะทำอะไรในวันนี้เลย
#LivingSneakPeek #Sansiri #Netzero#COP26 #สภาวะโลกร้อน