แอบดูคอนโด Life ๑ Wireless.. บ้านเลขที่ 1 สวยสง่า น่าอยู่ คู่ถนนวิทยุ

รอบนี้ได้ฤกษ์กลับมาเยือนถนนวิทยุอีกรอบหนึ่ง ซึ่งเป็นถนนสายคลาสสิค ภูมิทัศน์งาม และเป็นสุดยอดทำเลราคาระยับ จึงเป็นที่คู่ควรกับสถานที่ระดับสุดยอด ไม่ว่าจะเป็นสถานทูต ซึ่งพอมาอยู่ที่นี่ก็มีโครงสร้างพื้นฐานเพียบพร้อม มีความปลอดภัย และยังมีความเป็นส่วนตัวในระดับนึง ห้างสรรพสินค้าระดับเรือธงอย่าง Central Embassy, โรงแรมหรู, สำนักงานพรีเมียม Grade A, แถมยังมี BDMS Wellness Clinic ที่เป็นคลินิกเพื่อการชะลอวัยในสไตล์ Preventive Care จริงๆ เจ้าถนนวิทยุนี่เชื่อมตั้งแต่ถนนเพชรบุรีไปจนพระราม 4 เลย แต่โครงการบ้านเลขที่ 1 ของเราจะอยู่ฝั่งใกล้กับเพชรบุรีและคลองแสนแสบครับ

มารอบนี้ก็จะมาดูสิ่งที่ผมเคยติดใจสมัยเปิดขายใหม่ๆ ว่าสร้างเสร็จแล้วจะสวยแค่ไหน โดยเฉพาะอัตลักษณ์ที่เกิดจากเอกลักษณ์ในพื้นที่ที่นี่

สิ่งที่ว่าก็คือ “ต้นโพธิ์” อายุหลายปีที่ยืนต้นอยู่มาก่อนในที่ดินนี้ ธรรมชาตินี่คือสิ่งที่เราสร้างทดแทนยากมากเลยนะครับ มันให้อารมณ์ไม่เหมือนกัน และส่วนใหญ่ก็เป็นมนุษย์แหละที่เบียดบังเอาพื้นที่เหล่านี้ออกไปเรื่อยๆ ก็ดีใจที่เค้าอนุรักษ์ต้นโพธิ์เหล่านี้ไว้ และนำเอาใบโพธิ์มาเป็นสัญลักษณ์ใน Design Element ประกอบการตกแต่งอาคาร

ใบโพธิ์เนี่ยความสวยงามนอกจากใบที่มีลักษณะเหมือนรูปหัวใจแล้ว เวลาที่มีลมพัดผ่าน ใบจะพลิ้วไหว เล่นกับแสงแดดดูระยิบระยับ สวมงามเข้าตา แม้ใบโพธิ์ประดิษฐ์ที่โครงการสร้างขึ้นจะไม่ได้อ่อนช้อยเท่าธรรมชาติรังสรรค์ แต่เมื่อปะทะกับแสงแดดก็ให้ประกายระยิบระยับวับวาวราวมณี รื่นฤดี ธรรมชาติ พิลาศเอย เหมือนกัน (ใครอ่านมานะมานีปิติชูใจมาก่อนอาจจะคุ้นๆ ท่อนนี้มาบ้าง ฮ่าๆ)

ความประทับใจคือ ส่วนกลางที่นี่ มันทำให้คนที่อยู่รู้สึกภาคภูมิใจได้เลยจริงๆ นะ โดยเฉพาะส่วน Lobby ด้านล่างทั้ง Semi Outdoor และ Lobby หลักด้านในอาคาร วัสดุและสีสันที่เลือกใช้ให้ความรู้สึกหรูหรา แต่ไม่ฉูดฉาด ยังคงอารมณ์ความคลาสสิคร่วมสมัย และเส้นสายที่นิ่งสงบ น่าจะเป็น Lobby ในตระกูล Life ที่ผมดูมาและประทับใจที่สุด ส่วนอื่นๆ ก็ตั้งใจออกแบบพื้นที่ส่วนกลางให้มีส่วนพื้นที่สีเขียวสวยๆ หลายตำแหน่ง ทั้งสวนด้านล่างที่มี Water Feature ไล่ระดับตามแนวน้ำตกจำลอง สวนบริเวณชั้น 10 และสวนบริเวณชั้น Rooftop ที่ทำให้จุดชมวิวเหมือนเดินผ่านป่าโกงกางเข้าไปก่อนได้ด้วย ทุกที่ที่มีสวน มีพื้นที่นั่งพักผ่อนหย่อนใจคลายอารมณ์ควบคู่กันไปทั้งหมด

Facilities อื่นๆ ก็จัดมาให้ครบครัน ทั้งส่วนที่เป็น Library, Leisure Theater Lounge, Skybar, EV Charger, สระว่ายน้ำพร้อมวิวแบบ Panorama, Fitness, Amphitheater Wireless Social Club กระจายกันไปตั้งแต่ชั้น 1, ชั้น 10, ชั้น 42 และชั้น 43 ซึ่งเป็นชั้นบนสุดของอาคาร และยังมีพื้นที่พิเศษคือห้องให้เช่าใช้เก็บของกันได้ด้วย แม้โครงการจะมีจำนวนยูนิตที่มาก ก็จัด Facilities มาสมน้ำสมเนื้อครับ สิ่งที่ชอบอีกอย่างก็คือ ป้ายเข้าห้อง ทำเป็นกรอบทองสวยงามเข้ากับ Concept อาคารดี โดยมีเลข ๑ ไทยเป็นเอกลักษณ์ ใครเป็นเจ้าของห้องเลขที่ 1/1 นี่สวยงามจริงๆ

Layout ของห้องตัวอย่างที่เราจะพาดูในวันนี้ อาจจะคุ้นตาจากการใช้ใน Life ที่อื่นมาบ้าง โดยเฉพาะห้องแบบ 1Bed Plus เฟอร์นิเจอร์ที่ให้เป็นแบบ Fully-Fitted คือมี ครัวและห้องน้ำเป็นมาตรฐาน เป็นห้องที่มีดีไซน์พิเศษเฉพาะ กับ Layout ที่สามารถเลือกปรับเปลี่ยน Space ห้องได้ยืดหยุ่นตามใจเราครับ มีความ flexible ของฟังก์ชั่น ไม่ว่าเป็น Walk-in Closet ขนาดใหญ่ที่เหมาะกับสายแฟชั่น เสื้อผ้าเยอะๆ ชอบแบบจุๆ Mix บน Match ล่างได้ตามต้องการ หรือสายธุรกิจที่ชอบมีห้องทำงานส่วนตัว, สาย Entertainment ที่ต้องการห้องดูหนังแบบฟินๆ ปิดไฟ ปิดม่าน เปิดแอร์เย็นๆ แล้วซุกอยู่ใต้ผ้าห่ม, ทำเป็นห้องเก็บของสะสม หุ่น Gundum โมเดลรถแข่ง หรือสุดท้ายจะทำเป็นห้องเล่นโยคะ ให้ได้ยืดซ้ายยืดขวาบิดตัวไปมา ก็ขึ้นอยู่กับเจ้าของห้องจะสร้างสรรกันตามใจชอบเลยครับ

สรุปภาพรวมโครงการกันสักนิด Life ๑ Wireless คอนโดสร้างเสร็จพร้อมเข้าอยู่ เป็นอาคารสูง 43 ชั้น รวม 1,344 ยูนิต บนพื้นที่ราว 4 ไร่ครึ่ง มีตั้งแต่แบบ Studio 24 ตร.ม. ไปจนถึง 2 Bedroom ขนาด 63 ตร.ม. ราคาเริ่มต้นที่ 4.19 ล้านบาท แฟนเพจ Living Sneak Peek ที่สนใจ ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษได้ที่นี่ครับ >>> https://bit.ly/35Alyds

ช่วงเวลาที่ผมเข้าไปถ่ายภาพนี่ใช้เวลาพอสมควร ก็จะได้เห็นภาพพื้นที่ส่วนกลางและวิวโดยรอบที่มีตั้งแต่แสงยามบ่ายและเปลี่ยนสีไปเรื่อยๆ จนกระทั่งยามค่ำคืนกันเลย จะสวยงามถูกใจแค่ไหน ตามไปดูด้านในด้วยกันเลยครับ

#LivingSneakPeek #APThai #Life๑wireless

Life ๑ Wireless

ขอเปิดด้วยแสงสียามพลบค่ำ ณ ชั้น Top Floor ของที่นี่ ซึ่งได้วิวเมืองสวยๆ งามๆ แบบนี้มาให้ชมกันหน่อย เพื่อให้เห็นว่าโครงการที่พร้อมเข้าอยู่ ณ ทำเลนี้ มีทิวทัศน์ที่สวยงามขนาดไหน และภาพนี้เราถ่ายมาจากจุดชมวิวที่สวยที่สุดของที่นี่ ณ ระดับความสูง 43 ชั้นครับ

ที่ชั้นนี้ยังมีสวนที่จัดลดหลั่นกันตามระดับขั้นบันไดในลักษณะแบบ Amphitheater ก็จะมีทั้งอาคารสูงให้ชมควบคู่กับต้นไม้สวยๆ กันด้วย ก็ได้อารมณ์ไปอีกแบบ

สิ่งที่ขาดไม่ได้ก็คือสระว่ายน้ำที่เค้าใช้ชื่อ Dazzling Pool กลางวันกับกลางคืนก็ต่างกัน 2 อารมณ์เลยนะ ได้วิวเมืองยามค่ำคืนรอบๆ ตัวเรา

เสียดายวันนั้นเค้าไม่ได้เปิดไฟป้าย ตรงนี้ก็เป็นอีกสัญลักษณ์หนึ่งของที่นี่ครับ

ทางที่เราจะเดินไปถึงจุดชมวิวจะเป็นลักษณะแบบ Skywalk มีต้นไม้สองข้างทางแบบนี้ครับ สิ่งที่กั้นเรากับสายตามีเพียงแค่กระจกใสเท่านั้น ฟินสิ

ข้างๆ Skywalk ก็คือพื้นที่สวนที่ผมพูดถึงไป มีที่นั่งให้พักผ่อนหย่อนใจ หาอะไรมานั่งทานชมวิว ปล่อยเวลาให้เดินช้าๆ บนนี้ได้

สระว่ายน้ำยาว 35 เมตรครับ มีโซน Jacuzzi ส่วนตัวแยกกัน 3 จุดด้วย

ถัดลงมาบนชั้น 42 ก็ยังมีมุมพักผ่อนแบบ Outdoor Sky Bar ให้ใช้งานกันได้ด้วยอีกนะ วันที่ฟ้าเปิด บรรยากาศเป็นใจ ก็ไม่ต้องหา Rooftop bar ที่ไหนให้ยาก เตรียมเครื่องดื่มเย็นๆ มานั่งเล่นกันโซนนี้ได้

ฟิตเนสมีอุปกรณ์ครบครัน ชมวิวได้ถ้วนทั่วเช่นเดียวกันครับ

ส่วนกลางด้านในอาคารเป็นพื้นที่ขนาดใหญ่ ในลักษณะ Co-working Space แบ่งสันปันส่วนเป็นโซนๆ ให้ได้ใช้งานกันหลากหลายเลย ตรงนี้ดูแล้วเหมาะน่านั่งรับประทานอาหารมาก

ส่วนด้านในเป็น Theater Lounge ปิดม่านทึบให้นั่งดูหนังได้ถนัดๆ จัดตกแต่งเหมือน Private Lounge ในสนามบินเลย

ยังมีที่นั่งแบบเป็นส่วนตัวแยกไปด้วยนะ เค้าจัดหันหน้าแบบบังคับชมวิวกันไปเลย ฮ่าๆ เพื่อให้รู้ว่าตรงไหนก็เต็มอิ่มกับการผ่อนคลายได้

ข้อดีคือมันไม่ค่อยมีตึกสูงในระยะประชิดนี่แหละนะ มันก็เลยสบายตาแบบนี้ครับ

ความพิเศษอีกอย่างนึงคือพื้นที่ชั้นที่อยู่ใต้สระเนี่ย เค้าเอามาทำเป็นพื้นที่ Storage room ให้ลูกบ้านใช้บริการมาเก็บของได้ มีตั้งหลายห้องเรียงรายไปตามทาง

นอกจากวิวด้านนอกแล้ว สิ่งที่สวยงามทำให้เรารู้สึกสบายตาสบายใจคือการตกแต่งภายในอาคารของที่นี่แหละครับ ดูสิ เหมือนไม่ได้อยู่คอนโดเลย ได้อารมณ์โรงแรมซะมากกว่า

ก่อนจะเดินลงไปถึงชั้นล่าง แวะชั้น 10 สักหน่อย ตรงนี้มีสวน Cascade Garden อีกมุมพักผ่อนหย่อนใจสำหรับลูกบ้านด้วย คนที่เลือกชั้นไม่สูง ก็มีจุดให้ชมวิวเป็นสวนนี้อีกทางหนึ่ง ให้อารมณ์สงบเงียบไม่พลุกพล่าน

เอาละครับ ลงมาถึงชั้นล่างกันบ้าง ที่ที่ใครก็เดินเข้ามาก็ต้องรู้สึกประทับใจกับการตกแต่งของที่นี่ครับ

ดูอย่าง Mail Room ที่เลือกใช้สีทองมาเป็นสีหลักของ Mail Box สะท้อนแสงไฟแวววาว หรูหราชวนตาลายเวลามองหาห้องของเรา หน้าตาแบบนี้เปิดเป็นพื้นที่โชว์ได้เลย ไม่ต้องเอาไปซ่อนไว้ตรงอื่น

Lobby หลักสูงโปร่งมากครับ แบ่งโซนให้นั่งแยกกันเป็นโซนๆ ไป ทำให้ดูเป็นส่วนตัว และมีที่ทางให้ใช้หลากหลาย เท่าที่เดินไล่นับไปก็จะจัดแบบนี้ไว้ 4 โซนได้ครับ

 

ดีไซน์ และสีสันที่เลือกนำมาใช้ทำให้บรรยากาศบริเวณด้านในล็อบบี้ ดูรื่นรมย์มากนะครับ ข้างในเรียบสงบนิ่ง ตัดกับสีเขียวสดสบายตาของสวนด้านนอก นี่เป็นบ้านที่น่าภูมิใจสำหรับเจ้าของร่วมจริงๆ

สีหลักของบ้านเลขที่ ๑ นี้ เป็นสีขาวอะอาดตา แซมด้วยสีทองเพิ่มความเรียบหรู แต่ไม่ฉูดฉาด นี่เดินออกมาด้านนอกดูซะหน่อยว่าจะเป็นยังไงบ้าง จะเห็นว่าเค้าใช้ดีไซน์เดียวกันนี้ตลอดพื้นที่เลย Mood & Tone เป็นไปในทางเดียวกันหมด

ด้านหน้านี้มีที่นั่งให้อารมณ์แบบ Semi-Outdoor lobby เป็นที่นั่งแบบ Sunken Seat ลึกลงไปจากระดับพื้นหินสีขาว แต่เป็นระยะที่ทำให้นั่งลงไปใกล้สวนมากขึ้น รับลมสบายๆ

ที่ผมชอบมากก็คือการรักษาอัตลักษณ์ของพื้นที่ไว้ทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการรักษาต้นโพธิ์เดิมในพื้นที่เอาไว้ และแต่งเติมเสริมด้วยการปรับให้เป็น Design Element เพื่อกลับมาเป็นของตกแต่งอาคารได้อีก เจ้าใบโพธิ์สีทองนี้เล่นกับแสงวิบวับ สวยงามเหมือนกับใบโพธิ์บนต้นหน้าโครงการเลยครับ

เจ้าใบโพธิ์ทองนี้ยังเอามาใช้ประดับเป็นส่วนหนึ่งของน้ำพุบริเวณ Drop-off หน้าโครงการด้วย ดีงามและไม่เหมือนใครเลย ให้อารมณ์ความเป็นไทยที่เข้ากับยุคสมัย

พื้นที่ส่วนกลางต่างๆ เหล่านี้ยังไม่จบ มีอีกหนึ่ง Highlight ก็คือสวน One Wireless Botany กว่า 1 ไร่บริเวณด้านหน้า ที่เราได้ชมกันจากในล็อบบี้ทุกมุมมองนี่แหละ อยู่ติดกับคลองแสนแสบครับ ต้นโพธิ์ใหญ่ที่เราเห็นจากด้านล่าง ก็เป็นร่มเงาขนาดมหึมาเลย

ลักษณะตกแต่งแบบสวนไล่ระดับ ผสานกับบ่อน้ำ และน้ำตกจำลอง บริเวณตรงกลางมี Pavilion ให้เข้าไปนั่งพักผ่อนหย่อนใจได้

สวนแบบนี้มีคุณค่าสำหรับคนอยู่คอนโดมาก เพราะไม่มีพื้นที่ให้ปลูกต้นไม้อะไรได้เหมือนบ้าน

ทางเดินไปด้านหน้าโครงการก็จัด Landscape ด้วยต้นไม้ใบหญ้าแบบนี้ตลอดทาง และมีผนังเล่นลวดลายเพื่อซ่อนพื้นที่พักอาศัยให้คงความเป็นส่วนตัวจากภายนอกในขณะเดียวกัน

และนี่ก็คือภาพอาคารของโครงการ Life ๑ Wireless ครับ ใช้โทนสีเข้ม สไตล์เรียบๆ

ก่อนกลับแวะดูห้องตัวอย่างสักนิด ห้องแรกแบบ 1Bed Plus 35 ตร.ม. Layout นี้เป็นพิมพ์นิยมที่เคยเห็นจาก Life ปิ่นเกล้า พื้นที่จัดสรรไว้เป็นสัดส่วน และฟังก์ชั่นใช้งานครบถ้วน

ครัวอยู่ด้านนอกนะ เชื่อมอยู่กับพื้นที่ Living Room และห้องน้ำก็เข้าได้จากส่วนนี้ครับ มีเจาะช่องแสงให้แสงธรรมชาติจากระเบียงเข้ามาถึงห้องครัวได้ด้วย ทำให้โปร่งกว่าครัวลักษณะเดียวกันที่อื่นๆ

ห้องนอนมีพื้นที่เหลือๆ อยู่ชิดกับกระจกบานข้างขนาดใหญ่

มาพร้อมห้องอเนกประสงค์ด้านใน ส่วนห้องนี้เค้าจัดทำแบบ Walk-in Closet ซึ่งก็จะจัดรูปแบบไหนอันนี้ก็ขึ้นกับ Passion และ Hobby ในวันว่างของเรา

ห้องน้ำในยุคหลังของ AP เป็นต้นมาก็ใช้เป็นแบบสำเร็จรูป ลดปัญหาจุกจิก และเป็นมาตรฐานเดียวกันทุกห้องครับ

อีกห้องหนึ่งคือ Studio ขนาด 28 ตร.ม. Studio ไซส์ขนาดนี้ถือว่าอยู่สบายเหลือกินเหลือใช้ ถ้าเคยชินกับการพักอาศัยสไตล์โรงแรม ไม่อยากจัดการอะไรเยอะ ไม่ได้อยากรับแขกในห้อง ก็สะดวกเหมือนกัน

และที่สำคัญมีพื้นที่บริเวณบานหน้าต่างให้วางโซฟา หรือ Daybed ไว้นั่งพักผ่อนชิวๆ ได้ด้วยครับ

แหละทั้งหมดนี้ก็คือความประทับใจของผมที่มีต่อบ้านเลขที่ ๑ ถนนวิทยุ “Life ๑ Wireless” ที่เราพาชมในวันนี้นะครับ เป็น Life ที่พูดได้เต็มปากว่า ฉีกภาพเดิมในซีรีย์นี้ไปเลย แม้ห้องอาจจะไม่ได้มี Layout อะไรที่ตื่นเต้น แต่ก็เป็น Layout มาตรฐานเหมาะสำหรับการอยู่อาศัย แต่ที่น่าประทับใจก็คือการออกแบบพื้นที่ส่วนกลางต่างๆ ให้หรูหรา สวยงาม น่าใช้ และคู่ควรแก่การได้อยู่บนทำเลถนนวิทยุนี้เสียจริงๆ